ในทุกๆ วันที่ดำเนินไป คุณเคยสังเกตมั้ยคะว่าคุณรู้สึกอะไรบ้าง?

วันนี้พริมมีเรื่องจะมาแบ่งปันเกี่ยวกับการก้าวข้ามอารมณ์ด้านลบ ด้วยการ "เขียนอย่างมีสติ" ค่ะ

พริมเองเป็นคนฝึกอานาปานสติ (การเฝ้าดูลมหายใจ) อยู่แล้ว และพยายามจะมีสติในทุกๆ การกระทำ

ที่ทำนั้นเป็นเพราะอยากทำไปเอง เคยคุยกับพี่สาวว่า ถ้าไม่มาเป็น Branding Consultant ก็คงไปบวช 55

เพราะพริมเป็นคนรักในการปฏิบัติจริงๆ สามารถนั่งนิ่งๆ เฝ้าดูความคิดตัวเองได้ทั้งวัน อย่างเพลิดเพลิน

(ยิ่งป่วยด้วยโรคทาง Mental Health ยิ่งต้องมีสติ)

ทีนี้ สิ่งที่เกิดช่วง 2-3 วันนี้ ยิ่งตอนที่มีสติมากเป็นพิเศษ

คือปรากฎการณ์ เห็นความรู้สึก "หงุดหงิด"

ไม่ว่าจะเป็นการนั่งรถที่พ่อแม่ขับ แล้วท่านอาจจะสายตาไม่ดี มีเบรกบ่อย

ก็เอาละ "หงุดหงิด 1"

ทีนี้ก็หายใจเข้าออก ลองตามความหงุดหงิดไป

ใช้ปัญญาเข้าช่วย "ถ้าเวลาผ่านไปอีก 1 ชั่วโมง ฉันจะยังหงุดหงิดอยู่ไหม"

ได้คำตอบกลับมา "คงลืมไปแล้วว่าหงุดหงิดเรื่องการขับรถของพ่อแม่"

พอได้ปัญญาตรงนั้น ก็เริ่มเห็นความหงุดหงิดเป็นปรากฎการณ์หนึ่ง เข้ามาแล้วก็ไป "บาย!"

ที่เล่าว่าเห็น "หงุดหงิด 1" ชัดเนี่ย

มันเป็นเพราะเราอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น

ถ้าไม่ได้เห็นมันชัดๆ เราก็คงอารมณ์เสีย อาจจะพูดกับพ่อแม่ไม่ดี หรือเก็บเอาอารมณ์นี้ไปทำให้ใจไม่สบายต่อ

เรียกได้ว่า "ครูปรากฎ เมื่อนักเรียนพร้อม" จริงๆ - พอมีสติมากขึ้นก็เห็นอารมณ์ด้านลบมากขึ้น พอเห็นอารมณ์ด้านลบชัดขึ้นก็ปล่อยวางได้มากขึ้น

ทีนี้จะแนะนำให้รู้จัก "หงุดหงิด 2" (ลองอ่านไปนะคะ วิธีปล่อยวางอันนี้ไม่ง่าย ต้องใช้เครื่องมือช่วย)

นั่นคือ คุยบางเรื่องกับเพื่อน แล้วรู้สึกว่าเพื่อนเข้าใจเราผิด

เราตั้งคำถามไปว่า เขากำลังเข้าใจผิดหรือเปล่า เขาก็ไม่ตอบเรา

เอาแล้วทีนี้ หงุดหงิด 2 มันมีหน้าตาแบบนี้

"เธอเป็นคนแย่ๆ เป็นเด็กไม่ดี เธอถูกมองแบบนี้เสมอ" เสียงใจในบอก

และไอ้เจ้าหงุดหงิด 2 นี่มันลากเอาความทรงจำวัยเด็กมาทั้งยวง

เชื่อว่าทุกคนเคยผ่านประสบการณ์นี้ตอนเด็ก ประสบการณ์ที่ผู้ใหญ่หาว่าเรา "เป็นเด็กไม่ดี"

เช่น เราอยากเล่นเกมอีกสัก 5 นาที ผู้ใหญ่ก็เข้ามาในห้อง แล้วบอกว่าเราเป็น "เด็กติดเกม"

พูดง่ายๆ คือ ผู้ใหญ่เคยปิดป้ายเราว่าอะไร เราก็เชื่อไปด้วยว่าเราเป็นแบบนั้น (แต่พอมามองตอนโต เขาอาจจะอยากเร่งให้เราปิดคอมพ์ เพื่อออกไปข้างนอก แค่ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรเฉยๆ)

นั่นแหละค่ะ "หงุดหงิด 2" มาพร้อมกับ Trauma วัยเด็กเป็นพรวน ซึ่งเป็น Trauma ที่เรายังก้าวข้ามไม่ได้

มันโยงใยต่อเนื่อง เกาะเกี่ยวกันจนยากจะคลาย

จุดนี้ การมองมันเฉยๆ ก็ไม่ช่วยแล้ว

เอาไงดี?

ปกติพริมเป็นนักจดบันทึกตัวยงอยู่แล้ว ไดอารี่หลายเล่มหมดไปกับการจดบันทึกประจำวัน

งั้นเอางี้ ลองเขียนระบายมันหน่อยดีกว่า ไอ้ความหงุดหงิดนี้ จะได้ "เห็นชัด" มากขึ้น

ว่าแล้วก็คว้าปากกา Lamy คู่ใจ ค่อยๆ จรดตัวอักษรในหน้ากระดาษ

น่าแปลกที่พอเราจด มันเหมือนหน่วงให้สิ่งที่เกิดในใจมันช้าลง

ช้าลง...ช้าลง...จนเห็นความเกี่ยวโยงกับสิ่งอื่นๆ ของมัน

อ้อ...ที่แท้เรามีปมวัยเด็กนี้สินะ เราเลย "ขิว (ภาษาอีสาน แปลว่า Irritated)"

เออ เริ่มเห็นแล้ว...เอ้อ...นี่ล่ะมั้ง "อนัตตา"

เขียนไปอีก พลิกอีกหน้า ใจเริ่มเย็นลง

จนถึงจุดหนึ่ง เขียนในไดอารี่ว่า "เห็นขนาดนี้จะเอามันไว้ หรือวางลง"

ได้คำตอบว่า "ฉันจะปล่อยวางความโกรธเกลียดนี้ เพื่อสวัสดิภาพของฉันเอง"

เท่านั้นล่ะ "หลุด" เลย ...เออ...เพื่อนมันอาจจะมีเหตุผลของมันที่แสดงออกแบบนั้น ไว้เดี๋ยวเจอหน้าค่อยเคลียร์กันอีกที" (จดเรื่องที่อยากเคลียร์ไว้แล้ว)

เออ เราไม่กำเอาทุกข์ได้นะ มันมี Choice อยู่เสมอ ถ้าอยู่กับปัจจุบันก็ละมันไปได้เลย

ถ้ามันยังกลับมาก็ลองจ้องหน้ามันตรงๆ "ฉันเห็นเธอแล้ว ความโกรธเกลียด เธอก็เป็นอารมณ์หนึ่งใช่ไหม (ไม่ต่างจากปิติ ความสุข ก็เป็นอารมณ์ แต่แค่บังเอิญเราชอบมัน)"

ก็เลยมาแชร์ ในแง่ว่า ค้นพบความมหัศจจรรย์ของการเขียนที่ไม่เคยเจอมาก่อน (ทั้งที่ทำอาชีพนักเขียนเสียนมนาน)

ขอบคุณที่อ่านค่ะ ถ้าคิดเห็นอะไร มาแลกเปลี่ยนกันได้เสมอ